เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ที่อื่นเขาเขียนกัน ‘ต้องการความสงบ ต้องการความสงบ’
เราคิดว่าเราไม่ทำอย่างนั้น เราไม่ทำอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะสังคมเสื่อม สังคมเสื่อมต้องคอยลงปฏัก แต่ถ้าสังคมดีงามๆ ไง สังคมถ้าดีงาม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลายกย่องสรรเสริญกันนะว่าเป็นสัตว์ประเสริฐๆ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ
ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด
แต่ประเสริฐอย่างนั้น ประเสริฐอย่างนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติ ๖ ปีทุกข์ยากขนาดไหน ความทุกข์ยากขนาดนั้นน่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเสวยวิมุตติสุขๆ ยืน ๗ วัน นั่ง ๗ วัน วิมุตติสุขอันนั้นมันสุขมาจากไหน
มันมาจากหัวใจดวงนั้นน่ะ มันมาจากคนคนนั้น คนคนนั้นเวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากจากใจดวงนั้น เห็นไหม คนคนนั้นเวลาพ้นจากทุกข์ไปแล้ว คนคนนั้นมีความสุขมหาศาล คนคนนั้นน่ะ
เวลาใจมันพลิกมันเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปได้ แต่ใจถ้ามันไม่พลิกไม่แพลงมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เห็นไหม ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำใจของเราไง
ทุกคนบอกว่าเราเป็นคนดีๆ ไง จะคนดีหรือคนชั่วมันมีพยศในใจของมัน ถ้าคนดีก็มีพยศในใจ จะคนชั่วก็มีพยศในใจ ถ้าคนเกิดมา คนเกิดมาอวิชชาพาเกิดทั้งหมด จะดีจะชั่วมันก็เป็นจะดีจะชั่วในใจของตน
ดอกไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอม ใครๆ ก็ชอบใจทั้งนั้น ดอกไม้ที่สวยงามมีกลิ่นเหม็น ใครๆ ก็ไม่ต้องการทั้งสิ้น
นี่ก็เหมือนกัน คนมันดีงาม ดีงามที่ไหน คนเหมือนกัน ขับถ่ายของเสียเหมือนกัน ในร่างกายมนุษย์มีอะไรที่มันหอมหวล ไม่มี
หัวใจของคน เวลามันดี มันดีขึ้น มันดีงามขึ้นมา มันดีงามจนมนุสสเทโว เวลามันชั่วช้ามันเป็นมนุสสเปโต มันเป็นเปรต เป็นเปรตทั้งๆ ที่มันเป็นมนุษย์นั่นน่ะ นี่เพราะหัวใจมันต่ำช้า
แต่ถ้าหัวใจมันสูงส่ง มนุสสเทโว เป็นมนุษย์นะ แต่จิตใจนี้ดีงามมาก จิตใจนี้ส่งเสริมมาก จิตใจนี้พัฒนาสิ่งที่ดีงามทั้งสิ้น นั่นน่ะมนุสสเทโว ทั้งๆ ที่ก็ขับของเสียเหมือนกันน่ะ มันต้องใช้ปัจจัย ๔ เหมือนกัน มันต้องกินต้องถ่ายเหมือนกันทั้งสิ้น แต่สิ่งที่กินที่ถ่ายออกมามันก็เหม็นทั้งนั้นน่ะ ไม่มีอะไรของหอมหรอก แต่เวลามันหอมขึ้นมา มันหอมมาจากคุณธรรมในใจของมันไง คุณธรรมที่ดีงาม
ที่เรามาวัดมาวากันเรามาฝึกฝนสิ่งนี้ไง ฝึกฝนความดีงามของหัวใจเรา
จิตใจของคนจะดีงามขนาดไหน จะต่ำต้อยขนาดไหน จะเลวทรามขนาดไหน มันมีพยศของมัน มันมีพยศ ไอ้พยศตัวนั้น เวลาจะกระทำๆ กระทำตัวนั้นอวิชชาความไม่รู้ของมันไง มันคนดีงามๆ ขนาดไหนมันมีพยศขึ้นมา พยศมันส่งเสริมขึ้นมามันยิ่งข่มขี่เขาไปทั่ว คนชั่วเวลาพยศมันเกิดขึ้นมามันทำลายหัวใจมันทั้งสิ้น
เวลาฟังหลวงตาท่านเทศน์นะ เวลาท่านเผชิญกับกิเลสของท่าน ท่านพยายามต่อสู้กับกิเลสของท่าน ท่านบอกว่า ใน ๙ ปีที่อยู่ในป่าในเขาไม่มีใครรู้จักท่านหรอก จะเป็นจะตายอยู่คนเดียวกับการเผชิญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อดอาหารๆ อดอาหารเต็มที่เวลาไปบิณฑบาตจนเดินไม่ไหว จนเดินไม่ไหวนะ เวลากิเลสมันดิ้นรนในหัวใจ คอตกนะ
นี่คนที่มีอำนาจวาสนาบารมี เวลาสิ่งที่มันกดดันหัวใจ มันทำลายหัวใจของเรา มันบีบคั้นเรา เวลามันทำให้เราทุกข์ยากขนาดนั้นน่ะ เวลามันจนตรอก คอตกเลยนะ แล้วท่านสัญญาเลย ตั้งสัจจะ มึงเอากูขนาดนี้นะ
กิเลสเวลามันเหยียบย่ำมันทำลายเรา เหมือนเราคนจนตรอกโดนกิเลสมันบีบคั้น บีบคั้นขึ้นมาจนเราไม่มีทางออก แล้วมันเหยียบย่ำทำลายมันเจ็บปวดขนาดไหน แต่ความเจ็บปวดอันนั้นนะ แล้วท่านสัญญา ตั้งสัจจะอธิษฐานเลย มึงทำกูขนาดนี้นะ มึงทำกูขนาดนี้
แล้วเวลาท่านพยายามอดนอนผ่อนอาหารไปสู้กับมัน เวลามันเผชิญกลับมา จิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา จิตใจมันดีงามขึ้นมา นี่กูจะฟาดกูจะฟันมึง ตามไปขุดคุ้ยค้นหาว่ามึงซุกอยู่ที่ไหนในใจของกูนี่ มึงน่ะ มึงไอ้ตัวพยศ มึงอยู่ที่ไหน ตามล่าตามจองล้างจองผลาญมัน การกระทำของมัน
แต่ถ้าพูดในสังคมนะ ในผู้ดีนะ อู๋ย! กลับบ้านดีกว่าเว้ย อู้ฮู! ไม่ไหว ต้องตามขุดตามคุ้ย ต้องตามล้างตามผลาญ ไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะเขาต้องเจริญพรๆ เจริญพรมีแต่ความดีงาม
ดีงามอย่างนั้นหรือ ดีงามโดยกลบไว้ซ่อนไว้ เอากิเลสซุกไว้ในใจอย่างนั้นหรือ
ธรรมะไม่เป็นอย่างนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นทั้งนั้นน่ะ รื้อค้นขึ้นมานะ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่ไหน
ประเสริฐนะ เวลาท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านออกค้นคว้าออกไปศึกษา คนที่จะออกไปศึกษามันได้สร้างอำนาจวาสนาของมันมาใช่ไหม อำนาจวาสนามามาก ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ไปอยู่กับอาฬารดาบส อุทกดาบส ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ อาจารย์นี่ยกย่องสรรเสริญเลยนะ “ลูกศิษย์ของเรามีความรู้เหมือนเรา มีความสามารถเหมือนเรา สอนได้แล้ว สอนใครก็ได้ มีความรู้เสมอเรา” เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา
คนเรานะขนาดว่ามีครูบาอาจารย์ส่งเสริม มีอาจารย์การันตีว่าเป็นยอดคนนะ ไม่เอาๆๆ ใครจะมายกย่องสรรเสริญทั้งสิ้น ไม่เอา มันจะดีจะชั่วเรารู้อยู่กลางหัวใจ
มีคนยกย่องสรรเสริญมาก แต่ท่านบอกว่าทุกข์ ท่านยังมีกิเลสอยู่ ท่านยังมีความวิตกกังวลในใจของท่านอยู่
นี่ท่านออกจากสวนมา ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วถามมหาดเล็ก มันต้องมีฝ่ายตรงข้ามใช่ไหมที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วนี่ออกมาประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี ทำฌานสมาบัติได้ สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ทำได้ทั้งสิ้น เขายกย่องสรรเสริญขนาดไหนนะ เขายกย่องสรรเสริญ
เราก็มาแสวงหาสิ่งนั้น เรามาแสวงหาสิ่งที่คนเชื่อถือศรัทธา แต่ท่านไม่ต้องการ คนเชื่อถือศรัทธาเป็นเรื่องข้างนอก อาฬารดาบส อุทกดาบสเป็นอดีตอาจารย์ยกย่องสรรเสริญขนาดไหนก็ไม่เอา ไม่เอาเพราะอะไร
เพราะหัวใจเรายังว้าเหว่ หัวใจเรายังอั้นตู้ พยศในใจมันหลบซ่อนอยู่ในใต้พรมในหัวใจน่ะ มันหลบหลีกอยู่นั่นน่ะ ไม่เอา
เวลามาค้นคว้า มาค้นคว้าของท่านเอง มันจนตรอกแล้วแหละ เพราะว่าในชมพูทวีป ที่ไหนว่าอาจารย์สุดยอด ที่ไหนว่าเข้มงวด ที่ไหนว่าทำได้ขนาดไหน ไปศึกษามาหมดแล้ว แล้วศึกษาจนอาจารย์หมดพุง มีอะไรอีกไหม มีคุณวิเศษมากกว่านี้หรือไม่ สอนขนาดไหนทำได้หมด ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมันไม่จบ มันอยู่ข้างนอก เห็นไหม สุดท้ายแล้วตัดสินใจ “เราต้องค้นคว้าของเราเอง”
บังเอิญนางสุชาดาจะแก้บนๆ ไง ฉันอาหารของนางสุชาดา ตั้งใจสัจจะอธิษฐานเหมือนกัน “เรานั่งลงคืนนี้ ถ้าไม่ตรัสรู้ นั่งตาย”
เวลามันนั่งตายๆ ด้วยอำนาจวาสนาของคนที่มันสร้างมาสุดยอดมหาศาล เวลามันเป็นจริงขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ ปฐมยาม เริ่มต้นฉันอาหารของนางสุชาดามีกำลังวังชาแล้วนั่งกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เวลาปฐมยามนะ จิตสงบแล้ว
จิตสงบแล้ว ดูสิ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า จิตสงบแล้วจิตเข้าไปถึงข้อมูลเดิมของท่าน สิ่งที่ได้สร้างมาไง ย้อนไปบุพเพนิวาสานุสติญาณตั้งแต่พระเวสสันดรไปไง สาวไปไม่มีสิ้นไม่มีสุด สาวไปเถอะมันไม่จบ นี่ไง การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่ด้วยสติด้วยปัญญาของท่าน ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ดึงกลับมา
ดูสิ คนเห็นนิมิต คนเห็นต่างๆ ถ้าสติมันมั่นคง จบ ระลึกพุทโธชัดๆ จบ ไอ้ว่าเห็นนู่นเห็นนี่ เห็นต่างๆ จบ แต่มันไม่จบเพราะอะไร
เราจะกำหนดพุทโธชัดๆ เราจะดึงกลับมา แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ อีกใจหนึ่งอยากลอง มันแบ่งเป็นสองอารมณ์สามอารมณ์อยู่ในอารมณ์เดียวกันนั่นน่ะเวลาคนที่มันแก้นิมิตไม่ได้
ลองพุทโธชัดๆ มันจะเอานิมิตมาจากไหน เป็นไปไม่ได้ ตามข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยมารยาสาไถย ด้วยการปลิ้นปล้อนของกิเลส มันเป็นไปหมดน่ะ
นี่พูดถึงว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณตามความเป็นจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป น้อยนักที่จะได้เป็นตามความเป็นจริง แล้วถ้ามันเป็นไป มัชฌิมยาม จุตูปปาตญาณ ถ้ายังไม่จบสิ้น มันยังกระบวนการถ้าตายแล้วเกิดๆ มันยังไปของมัน มันไปของมันนะ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นสิทธิ์
เวลาท่านดึงกลับมา ปัจฉิมยาม เวลาใคร่ครวญกันพิจารณากันต่อสู้กัน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า จนในใจของตนพิจารณาเป็นชั้นๆ เข้ามานะ อันนี้ไม่ใช่ วางไว้ อันนี้ไม่ใช่ วางไว้ อันนี้พิจารณาไปแล้วไม่ถูกต้อง วางไว้ นี่ไง จะแก้พยศ
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านทำมันมีที่มาที่ไป มันมีเหตุมีผลของมัน เวลามีมรรคมีผลขึ้นมา ไม่ใช่ไปจำใครมาแล้วก็อุปาทานไปสร้างภาพบ้าบอคอแตก เจริญพรๆ แต่ความจริงไม่มี แล้วถ้าความจริงๆ มันมาจากไหน ความจริงมันเกิดในใจที่มึงจริง ถ้าใจมันจอมปลอมมันจะเอาความจริงมาจากไหน
ถ้าใจมันจะจริงขึ้นมา รู้จักผิดชอบชั่วดี สิ่งใดควรไม่ควรมันรู้ คนเรารู้ทั้งนั้นน่ะ เวลาคน ดูหมอสิ ถ้ามีโรคระบาดที่ไหน อากาศเป็นพิษ เขาไม่เข้าไปใกล้เลย
แล้วนี่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่ดีเอาไว้ทำไมในใจ สิ่งที่ไม่ดีทำทำไม ผิดชอบชั่วดีก็รู้ แล้วทำทำไม นี่สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น นี่เพราะมันไม่จริงของมันไง
แต่ถ้ามันจริง มันคัดมันแยก มันคัดมันแยกของมัน อะไรไม่จริง วางไว้ๆ เพราะอะไร เราเผชิญกับความจริง เราหาความจริง ถ้าเราหาความจริงขึ้นมา พอจิตสงบแล้ว นี่ไง ขุดคุ้ยงานไง ไอ้พยศ ตัวพยศนั่นน่ะ ไอ้ตัวพยศที่มันซุกอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ
ไอ้ตัวพยศ ดูสิ พญามาร เวลาเจ้าชายสิทธัตถะจะพ้นไป เวลาพ้นจากพญามารไป นางตัณหา นางอรดี ลูกสาว ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เวลาสัจจะความจริง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรือนยอดสามหลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เรือนยอดสามหลังรวมเป็นยอดปราสาท เป็นพญามาร เราได้หักลงแล้ว ลูกมันจะมีปัญญาอะไร แต่ลูกมันก็ไปรับอาสาจากพ่อนะ จะไปเอาเข้าชายสิทธัตถะกลับมาๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นสัจจะความจริงอย่างนั้น ถ้าสัจจะความจริงอย่างนั้น ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาอย่างนั้น ถ้าประพฤติปฏิบัติมาอย่างนั้น
เราเป็นชาวพุทธๆ ถ้าเราเป็นชาวพุทธขึ้นมาเราจะไปวัดไปวาเราก็เลือกเอา วัดไหนที่มันสะดวกสบายที่เราพอใจก็ไปวัดนั้น ไปวัดนั้นเพราะอะไร
เพราะวัดเขายังไม่ไปเลย ทำไมทำมาหากินมาเดือดร้อนขนาดนั้นต้องไปวัด ไปวัดไปทำไม ไปขนทรัพย์สมบัติไปถวายพระ แล้วพระก็เอาไปเก็บสะสมไว้ เป็นประโยชน์กับใคร ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลยถ้าดูแต่วัตถุธาตุ
แต่ดูที่ค่าของหัวใจสิ หัวใจของคนที่ประเสริฐ หัวใจของคนที่ดีงาม หัวใจของคนที่ประณีต เขาถวาย เขาถวายแต่สิ่งที่เป็นประณีตของเขา ประณีตของเขาเพื่อหัวใจของเขา หัวใจของเขาเรียกร้องอย่างใด เขาจะทำตอบสนองหัวใจของเขา ถ้าหัวใจของเขามันมีคุณค่า เขาทำเพื่อหัวใจของเขา แล้วมันจะประเสริฐเป็นชั้นๆๆ ของเขาขึ้นไป
เวลาไป นี่ไง เวลาเราสวดมนต์ไง ความดียิ่งกว่านี้ยังมีอยู่ ความดียิ่งกว่านี้ยังมีอยู่ แล้วความดีสุดท้ายคืออะไรล่ะ
ทำบุญมากน้อยขนาดไหนมันระดับของทาน ถึงที่สุดแล้วต้องนั่งลง หลับตา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ค้นคว้าหาหัวใจของตน
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วจิตนี้ตอนนี้มันมาเกิดเป็นเรา มานั่งเป็นหัวตออยู่นี่ แล้วไม่เห็นใจของตน เห็นแต่ยศถาบรรดาศักดิ์ที่เขายกย่องสรรเสริญ เห็นแต่ความบ้าบอคอแตกจากภายนอก แต่ไม่เห็นใจของตน
ถ้าเห็นใจของตนแล้วนะ สิ่งใดๆ ไม่มีค่า กษัตริย์สมัยพุทธกาลนะ เวลาจะเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเปลี่ยนฉลองพระองค์ทั้งสิ้น เขาต้องถอดออก ขนาดว่าเป็นสมมุติๆ นี่แหละ จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยศถาบรรดาศักดิ์เขาจะกองไว้ที่หน้าประตูวัด
เราอยู่กับหลวงตาที่บ้านตาด ท่านพูดประจำตอนยังเข้มข้นอยู่นะ เขี้ยวเล็บของใครก็แล้วแต่ต้องถอดไว้ที่หน้าประตูวัด อย่าเอามันเข้ามา เพราะจะมาฝึกหัด จะมาค้นคว้าจะมาหาความจริง เขี้ยวเล็บทั้งหมดกองไว้ที่นั่น
แล้วเขี้ยวเล็บมันติดเข้ามาไง มันคิดว่ามันมีเขี้ยวเล็บไง ท่านสอยหงายท้องหมดน่ะ
เพราะธรรมมันเหนือโลก สิ่งที่มีค่าที่สุด ความดีและความชั่ว ความถูกและความผิด ถ้ามีสติพิจารณาได้ นั้นคือธรรม
แล้วสิ่งที่ไม่ดีๆ ใครๆ ก็รู้ สิ่งที่เราไม่ชอบ คนอื่นก็ไม่ชอบ แล้วทำไมเราไม่ชอบ ทำไมเราทำให้คนอื่นกระทบกระเทือน เราไม่ชอบ ทำไมเราทำได้ ทำไมคนอื่นทำไม่ได้ นี่ไง ถ้าหัวใจไม่เป็นธรรมไง
ถ้าหัวใจเป็นธรรมนะ มันจะละพยศตัวนี้ พยศในใจของเรา เราจะค้นคว้าหามัน ละพยศในใจของเรา จะดีสูงส่งขนาดไหนมันก็มีพยศอยู่ในใจนั่นน่ะ จะเลวทรามต่ำช้าอย่างไรมันก็ยิ่งมีพยศในใจมันมาก นี่ไง คืออวิชชา แล้วเราละไอ้ตัวพยศนั้นน่ะ
“เป็นคนดีๆ”
คนดีก็ตาย คนดีตายฟรีๆ คนดีตายแบบคนดี แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
คนจะดีจะชั่วมันต้องมีสติมีปัญญาค้นคว้าหาใจของตนให้เจอ ถ้าค้นคว้าหาใจของตนให้เจอนะ การค้นคว้ามันลงทุนลงแรง คนทำงานโดยความบากบั่นมานะมันเห็นคุณค่าของทรัพย์ที่ได้มา
นี่เหมือนกัน นั่งสมาธิภาวนากว่าจะได้สิ่งนี้มามันลงทุนลงแรงขนาดไหน แล้วสิ่งที่ลงทุนลงแรงขนาดนี้ มัคโค ทางอันเอก
ทางอันเอกนี้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้ามาขนาดไหน แล้วหลวงปู่มั่นท่านวางเป็นข้อวัตรปฏิบัติไว้ แล้วคนที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็ได้สิ่งนี้เป็นเครื่องตอบสนองเป็นปัจจัยเป็นเครื่องอาศัย ความที่ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยให้จิตใจนี้มันสงบระงับ ให้จิตใจนี้มีคุณค่า
พอจิตใจสงบระงับมีคุณค่า สติ สมาธิ ปัญญามันเป็นของจริงๆ สดๆ ร้อนๆ มีรสมีชาติ แล้วมันเป็นมา แลกมาด้วยความเพียรแก่กล้า แลกมาด้วยความเพียรความวิริยอุตสาหะ แลกมาด้วยอำนาจวาสนาบารมีของตน
แต่ของเรามันไม่มีอำนาจวาสนาไง เป็นไฟไหม้ฟาง ดีอยู่ชั่วคราว พยายามอยู่ชั่วคราว ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วล้มไปไม่เป็นท่า แล้วลุกไม่ได้ ลุกไม่เป็น พอมันไม่เป็น เพราะความไม่เอาไหนในใจของตนไง
แต่ถ้ามันเอาไหนขึ้นมานะ มันฟื้นฟูได้ มันเสื่อมสภาพได้มันก็ต้องเจริญได้ หิว กินข้าวก็หาย เวลากินอิ่มเกินไป มันกินจนจุกตาย แต่ถ้าหิวกินข้าวมันก็หาย เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมาก็เร่งความเพียรเข้าไปสิ
เวลาหลวงตาท่านจิตเสื่อมไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกเลย “เด็กมันต้องกินอาหารของมัน ไม่ต้องไปตามหาเด็ก เดี๋ยวถ้ามันหิวมันต้องกลับมาหาเราเอง ฉะนั้น ให้พุทโธๆๆ ไว้ เตรียมอาหารไว้ให้มันพร้อม”
ท่านก็พุทโธๆๆ พุทโธจนจิตมันสงบได้ เออ! สอนเหมือนเด็กๆ จิตของคนมันต้องการพุทธานุสติ มันต้องการความสงบระงับของมัน สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของตน กิเลสมันป้อนทั้งนั้น กิเลสมันสร้างภาพทั้งนั้น
ความคิดจินตนาการแม้แต่จินตนาการเรื่องธรรมะ ศึกษาธรรมะมาแล้วจินตนาการเอา สร้างภาพเอา เป็นธรรมะสร้างภาพ ธรรมะเซเว่นน่ะ หิวที่ไหนมาเซเว่น หิวเมื่อไหร่มาได้เลย หิวเมื่อไหร่มาเอาธรรมะได้เลย
คิดเอาเอง เออเอาเอง ไร้สาระ แล้วมันก็มีปฏิกิริยานี่ไง ความชั่วร้าย ชาวพุทธนะ ตะวันตกเขาศึกษาธรรมะ เขาแปลกใจ เช้าใส่บาตร ตกเย็นตีไก่ กลางคืนเล่นไพ่ กินเหล้า เฮ้ย! พุทธอะไรของมึงวะ แต่เวลาเขาศึกษาศาสนาเขาก็แปลกใจนะ
นี่ไง ถ้ามันมีสติมีปัญญาสักหน่อยมันไม่ทำหรอก โดยเด็กๆ ดูสิ ไปโรงเรียน กลับมาเลย “แม่อย่าสูบบุหรี่ ห้ามกินเหล้า” เด็กๆ มันจะบอกหมดเลย แล้วพอโตขึ้นมันก็กิน
ดูดบุหรี่ไม่ได้ กินเหล้าไม่ดี ไม่ดีทั้งนั้น แต่ก็ดูด แต่ก็กิน นี่ความไม่ดีๆ มันก็รู้แต่มันทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะอะไร ทำไม่ได้เพราะไม่ได้ฝึกหัด ทำไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจวาสนา
ถ้ามีอำนาจวาสนาฝึกหัดของมัน คนเราจะดีเพราะการฝึกหัด เพราะการฝึกหัดเท่านั้น ถ้าไม่ฝึกหัดไม่ไปรู้ไปเห็นตามความเป็นจริงแล้วจะไม่เห็นคุณค่าข้อวัตรปฏิบัติ ไม่เห็นคุณค่าสิ่งที่ควรจะเป็น สิ่งที่ควรเป็นนี่หนทางไง หนทางที่จะให้หัวใจมันก้าวเดินไง แล้วเอ็งไปปิด เอ็งไปทำลาย เอ็งไปล็อกไม่ให้หัวใจของคนมันก้าวเดิน มันไร้สาระ นี่พูดถึงว่าคนที่ไม่เห็นคุณค่า
คนที่เห็นคุณค่านะ การภาวนามาจากไหน จิตนี้มันจะประเสริฐ ประเสริฐมาจากไหน คนที่มันเป็นความดี มันเป็นความดีมาจากไหน มันจะลอยมาจากฟ้า ไม่มี
ลอยมาจากความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร แต่ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิความเพียรที่ถูกต้องดีงาม ไม่ใช่ความเพียรที่ตะบี้ตะบันด้วยความเห็นผิดของเรา ยิ่งทำแล้วมันยิ่งลงต่ำไปเรื่อยๆ ไง
อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ
มัชฌิมาปฏิปทา คือความพอดีถูกต้องดีงาม แล้วความถูกต้องดีงามของเรา พยศในใจของตนมันถือทิฏฐิมานะของมันนะ มันไม่ฟังใครหรอก กูแน่ กูเก่ง กูยอด กูเยี่ยม พระไตรปิฎกกูอ่านมาห้าหกรอบแล้วทำไมกูจะไม่รู้ กูทำได้ทั้งสิ้น
ทำไปเถอะ มึงตายเปล่า
เพราะกิเลสนะ มันเอาธรรมะนี้มาอ้างว่าเป็นสมบัติของมัน แล้วก็บอกทำอย่างนี้ๆๆ มันเอาธรรมะนั่นแหละ นี่ไง มันเหมือนสืบราชการลับ เขาเข้ามาเป็นพวกเราไง แล้วเขาก็มาขนความลับไปหมดเลย
ความลับทางการค้านะ ธุรกิจเขาไม่ให้ใครรู้เลย ไอ้นี่กิเลสมันรู้หมด เพราะมันเป็นอวิชชา มันมากับจิตใต้สำนึก
หลวงปู่มั่นบอกเลย อวิชชาที่อยู่มันคืออะไร ฐีติจิต จิตใต้สำนึกเป็นที่อยู่ของอวิชชา
แล้วมึงเอาสมอง เอาเปลือกนอกไปศึกษา แล้วมันก็คิดว่าเป็นผู้รู้ ผู้แน่ ผู้ยอดผู้เยี่ยม...กิเลสหลอกทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะไม่เห็นความจริงไง ไม่เห็นความจริงก็ไม่เห็นที่มาที่ไป ไม่เห็นเครื่องอยู่ ไม่เห็นสิ่งที่สร้างสม มันก็ไม่รู้จักอะไรเป็นของดี ไม่รู้จักอะไรเป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ถนอมรักษา
ถ้าครูบาอาจารย์ถนอมรักษา ถนอมรักษาไว้ทำไม
หลวงตาท่านไปทั่วโลกดินแดน เวลาบอกว่าท่านแก่เฒ่าท่านไปทำไม ไปเอาหัวใจของคน ไปเอาหัวใจของคน หัวใจที่มันทุกข์มันยาก หัวใจที่มันอั้นตู้ หัวใจที่มันไม่มีทางออก ไปเอาหัวใจของคน เอวัง